แชร์

ยา สมุนไพร หรือการผ่าตัด? ทางเลือกในการรักษาต่อมลูกหมากโต

        เมื่อพูดถึงโรคต่อมลูกหมากโต (BPH) หลายคนอาจรู้สึกกังวลและสับสนกับทางเลือกในการรักษาที่มีมากมาย แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป บทความนี้จะรวบรวมทุกทางเลือกในการรักษา เพื่อให้คุณเข้าใจและตัดสินใจร่วมกับแพทย์ได้อย่างมั่นใจ

โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia หรือ BPH) เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ชายสูงวัยอย่างมาก การตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยมีทางเลือกหลักๆ 3 ประการ ได้แก่ การใช้ยา สมุนไพร และการผ่าตัด ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมที่แตกต่างกันไป

 


1. การใช้ยา: ทางเลือกแรกสำหรับอาการไม่รุนแรง
การใช้ยาในการรักษาต่อมลูกหมากโตเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ยาที่ใช้ในการรักษาต่อมลูกหมากโตสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้

     1. ยาคลายกล้ามเนื้อเรียบ (Alpha-blockers)
กลไกการทำงาน : ยาในกลุ่มนี้จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณต่อมลูกหมากและท่อปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะไหลได้สะดวกขึ้น
ข้อดี : ออกฤทธิ์เร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงถึงปานกลาง
ข้อเสีย : อาจมีผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ


     2. ยาลดขนาดต่อมลูกหมาก (5-alpha reductase inhibitors)
กลไกการทำงาน : ยาในกลุ่มนี้จะช่วยลดขนาดของต่อมลูกหมาก โดยยับยั้งการสร้างฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก
ข้อดี : เหมาะสำหรับผู้ที่มีต่อมลูกหมากขนาดใหญ่
ข้อเสีย : อาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล และอาจมีผลข้างเคียง เช่น สมรรถภาพทางเพศลดลง


     3. ยาผสม
เป็นการใช้ยาทั้งสองกลุ่มร่วมกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา โดยมุ่งหวังผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ยาเพียงกลุ่มเดียว

 


2. สมุนไพร: ทางเลือกเสริมที่ต้องปรึกษาแพทย์

1. Saw Palmetto (ปาล์มใบเลื่อย) 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

   - การศึกษา meta-analysis หลายฉบับพบว่า สารสกัดจาก Saw Palmetto มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-alpha reductase ซึ่งลดการเปลี่ยนเทสโทสเตอโรนเป็น DHT (Dihydrotestosterone) ที่กระตุ้นการขยายตัวของต่อมลูกหมาก
   - การศึกษาของ Cochrane Review (2012) พบว่า saw palmetto มีผลลดอาการปัสสาวะติดขัดและอาการของ BPH ได้เทียบเท่ายา finasteride แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า


รูปแบบที่ใช้
   - ขนาด 160320 mg ต่อวัน ในรูปแบบแคปซูลหรือสารสกัด


อ้างอิง
Tacklind, J., et al. (2012). Serenoa repens for benign prostatic hyperplasia. Cochrane Database of Systematic Reviews.

2. Pygeum (เปลือกต้นพรุนแอฟริกัน) 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

   - งานวิจัย meta-analysis ของ Cochrane Review ระบุว่า Pygeum africanum สามารถช่วยลดปัญหาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปรับการไหลของปัสสาวะให้ดีขึ้น
   - มีฤทธิ์ลดการอักเสบและยับยั้งปัจจัยการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก


รูปแบบที่ใช้
   - ขนาด 50100 mg ต่อวัน ในรูปแบบสารสกัด


อ้างอิง
Wilt, T. J., et al. (2002). Pygeum africanum for benign prostatic hyperplasia. Cochrane Database of Systematic Reviews.

3. Nettle Root (รากตำแย) 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

   - การศึกษาทางคลินิกพบว่า รากตำแยสามารถช่วยลดอาการของ BPH โดยมีฤทธิ์ต้านเอนไซม์ 5-alpha reductase และลดการอักเสบของต่อมลูกหมาก
   - งานวิจัยใน Journal of Herbal Pharmacotherapy (2005) ระบุว่า การใช้รากตำแยร่วมกับ saw palmetto ให้ผลดีในการบรรเทาอาการปัสสาวะติดขัด


รูปแบบที่ใช้
  - ขนาด 300600 mg ต่อวัน ในรูปแบบแคปซูลหรือชาสมุนไพร


อ้างอิง
Safarinejad, M. R. (2005). Urtica dioica for benign prostatic hyperplasia: A randomized, double-blind study. Journal of Herbal Pharmacotherapy.

4. Pumpkin Seed (เมล็ดฟักทอง) 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์


   - เมล็ดฟักทองมีสาร β-sitosterol ซึ่งช่วย ลดอาการปัสสาวะติดขัดและเพิ่มอัตราการไหลของปัสสาวะ
   - งานวิจัยใน Journal of Urology (1995) พบว่าผู้ที่รับประทาน β-sitosterol 130 mg ต่อวัน มีอาการปัสสาวะดีขึ้น


รูปแบบที่ใช้
   - ขนาด 1-2 กรัมต่อวัน หรือ น้ำมันเมล็ดฟักทอง 


อ้างอิง
Klippel, K. F., et al. (1997). A multicentric, placebo-controlled study of β-sitosterol. British Journal of Urology.

5. Turmeric (ขมิ้นชัน) 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

   - สารสำคัญ เคอร์คูมิน (Curcumin) มีฤทธิ์ลดการอักเสบของต่อมลูกหมาก
   - งานวิจัยใน Journal of Cancer Science & Therapy (2011) พบว่า เคอร์คูมินช่วยลดการเจริญของเซลล์ต่อมลูกหมากโต และอาจช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก


รูปแบบที่ใช้
   - ขนาด 500-1000 mg ต่อวัน ในรูปแบบแคปซูลหรือชาสมุนไพร 


อ้างอิง
Shanmugam, M. K., et al. (2011). Curcumin inhibits prostate cancer growth. Journal of Cancer Science & Therapy.

6. Green Tea (ชาเขียว) 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

   - มีสาร คาเทชิน (Catechins) ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดการอักเสบ
   - การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Nutrition (2006) พบว่า ผู้ชายที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำมีอัตราการเกิด BPH ต่ำลง


รูปแบบที่ใช้
   - ดื่มชาเขียว 2-3 ถ้วยต่อวัน หรือรับประทานสารสกัด EGCG (Epigallocatechin gallate) 200-400 mg ต่อวัน


อ้างอิง
McLarty, J., et al. (2009). Green tea catechins for prostate cancer prevention. American Journal of Clinical Nutrition.

7. Lycopene (ไลโคปีน จากมะเขือเทศ) 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

   - ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดขนาดต่อมลูกหมากและป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก
  - งานวิจัยใน Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention (2004) พบว่าผู้ชายที่รับประทานไลโคปีนเป็นประจำมีอัตราการเกิด BPH และมะเร็งต่อมลูกหมากต่ำลง


รูปแบบที่ใช้
   - ขนาด 6-15 mg ต่อวัน จากอาหารหรืออาหารเสริม


อ้างอิง
Giovannucci, E. (2002). Lycopene and prostate cancer risk. Cancer Epidemiology, Biomarkers & Prevention.


8.เกสรต้น Brassica campestris (เกสรผักกาดหางหงษ์) 

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์

   - เกสรของต้น Brassica campestris หรือที่เรียกกันว่า เกสรผักกาดน้ำมัน มีสารประกอบทางชีวภาพที่ช่วยบรรเทาอาการของ ต่อมลูกหมากโต (BPH)
   - งานวิจัยพบว่า สาร flavonoids, phytosterols และ polysaccharides ในเกสรสามารถช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของต่อมลูกหมาก
   - งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Journal of Ethnopharmacology ระบุว่า เกสรของ Brassica campestris ช่วยเพิ่มการไหลของปัสสาวะและลดอาการปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน


รูปแบบที่ใช้
   - มักใช้ในรูปแบบ สารสกัด (Pollen Extract) ขนาด 200-400 mg ต่อวัน
   - มีอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดที่ใช้รักษาอาการของ BPH


อ้างอิง
Liu, Z., et al. (2016). Effects of Brassica campestris pollen extract on benign prostatic hyperplasia. Journal of Ethnopharmacology.

 


3. การผ่าตัด: ทางเลือกสุดท้ายสำหรับอาการรุนแรง

เมื่ออาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อยา การผ่าตัดเป็นทางเลือกที่ช่วยบรรเทาอาการได้ดี โดยมีหลายวิธีที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. TURP (Transurethral Resection of the Prostate)

วิธี : ส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะเพื่อตัดเนื้อต่อมลูกหมากที่อุดตัน
ข้อดี : ฟื้นตัวเร็ว, เสี่ยงเลือดออกน้อย
ข้อเสีย : อาจเกิดภาวะน้ำเป็นพิษ, อาจมีภาวะหลั่งน้ำอสุจิย้อนกลับ
เหมาะสำหรับ : ต่อมลูกหมากขนาด กลาง (30-80 กรัม)

2. Open Prostatectomy (ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง)

วิธี : ผ่าตัดผ่านหน้าท้องเพื่อนำต่อมลูกหมากออกบางส่วน
ข้อดี : ใช้สำหรับต่อมลูกหมากขนาดใหญ่
ข้อเสีย : ฟื้นตัวช้า, มีเลือดออกมาก
เหมาะสำหรับ : ต่อมลูกหมาก ขนาดใหญ่ (>80 กรัม)

3. HoLEP (Holmium Laser Enucleation of the Prostate)

วิธี : ใช้เลเซอร์ Holmium ตัดต่อมลูกหมาก
ข้อดี : เลือดออกน้อย, ฟื้นตัวเร็ว
ข้อเสีย : ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ
เหมาะสำหรับ : ต่อมลูกหมากขนาด ใหญ่

4. GreenLight Laser Therapy

วิธี : ใช้เลเซอร์สีเขียวเผาทำลายเนื้อต่อมลูกหมากที่เกิน
ข้อดี : เจ็บน้อย, ฟื้นตัวเร็ว
ข้อเสีย : อาจต้องทำซ้ำ
เหมาะสำหรับ : ต่อมลูกหมาก ขนาดกลาง

5. UroLift

วิธี : ใช้คลิปหนีบเนื้อต่อมลูกหมากให้เปิดออก
ข้อดี : ไม่ต้องตัดเนื้อเยื่อ, ไม่มีผลกระทบต่อสมรรถภาพทางเพศ
ข้อเสีย : อาจไม่เหมาะกับต่อมลูกหมากขนาดใหญ่
เหมาะสำหรับ : ผู้ที่ต้องการวิธี รุกรานน้อย


การรักษาต่อมลูกหมากโต (BPH) มีหลายทางเลือก ทั้ง ยา ที่ช่วยลดอาการและปรับสมดุลฮอร์โมน, สมุนไพร ที่ได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัย และการผ่าตัด ที่ใช้ในกรณีอาการรุนแรง วิธีการเลือกขึ้นอยู่กับขนาดของต่อมลูกหมากและความรุนแรงของอาการ ควรปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด.


บทความที่เกี่ยวข้อง
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy