แชร์

ผู้ชายอายุเยอะแล้วต้องเจอ? ปัจจัยเสี่ยงของโรคต่อมลูกหมากโต

           โรคต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia หรือ BPH) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ชายสูงอายุ โดยต่อมลูกหมากซึ่งเป็นต่อมขนาดเล็กที่อยู่ใต้กระเพาะปัสสาวะและล้อมรอบท่อปัสสาวะมีขนาดใหญ่ขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย และอาการอื่นๆ ที่รบกวนคุณภาพชีวิต

 


อายุคือปัจจัยเสี่ยงหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของโรคต่อมลูกหมากโต โดยความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
   - ผู้ชายที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคนี้
   - ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีอาการของโรคต่อมลูกหมากโต
   - เกือบ 90% ของผู้ชายที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปจะมีภาวะนี้

การที่อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคต่อมลูกหมากโตนั้น มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนอย่างชัดเจน และสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ดังนี้

1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
เมื่อผู้ชายมีอายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเพศชาย (เทสโทสเตอโรน) จะเริ่มลดลง ในขณะเดียวกัน ระดับฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก อาจเพิ่มขึ้นหรือยังคงอยู่ในระดับสูง
DHT มีผลกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ต่อมลูกหมาก เมื่อระดับ DHT สูงขึ้น จึงส่งผลให้ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้น

2. การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อต่อมลูกหมาก
เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อเยื่อต่อมลูกหมากจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง โดยอาจมีการเพิ่มจำนวนของเซลล์ต่อมลูกหมาก (hyperplasia) และการขยายขนาดของเซลล์ (hypertrophy)
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้น และกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปัสสาวะลำบาก

3. ปัจจัยการเจริญเติบโต
ในผู้ชายสูงอายุ การทำงานของปัจจัยการเจริญเติบโต (growth factors) ในต่อมลูกหมากอาจเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ต่อมลูกหมาก
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอายุ

4. การเปลี่ยนแปลงของระบบประสาท
อายุที่มากขึ้นอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและต่อมลูกหมาก
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อยและปัสสาวะไม่สุด


ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคต่อมลูกหมากโต

นอกเหนือจากอายุ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคต่อมลูกหมากโต ดังนี้

1. ประวัติครอบครัว
หากมีสมาชิกในครอบครัว เช่น พ่อหรือพี่ชาย เป็นโรคต่อมลูกหมากโต จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นโรคนี้เช่นกัน
ปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงของแต่ละบุคคล


2. โรคประจำตัว
โรคเบาหวานและโรคหัวใจมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคต่อมลูกหมากโต
ผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุงก็มีความเสี่ยงสูงขึ้นด้วย
โรคเหล่านี้อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการไหลเวียนโลหิต ซึ่งมีผลต่อต่อมลูกหมาก


3. การใช้ฮอร์โมน
การใช้ฮอร์โมนเพศชาย หรือการใช้ยาบางชนิดที่ส่งผลต่อระดับฮอร์โมน อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก


4. รูปแบบการใช้ชีวิต
การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และการขาดการออกกำลังกาย อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
การสูบบุหรี่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยเช่นกัน
พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพส่งผลเสียต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระดับฮอร์โมน


5. เชื้อชาติ
คนแอฟริกันอเมริกันมีความเสี่ยงสูงกว่าคนผิวขาว
ความแตกต่างทางพันธุกรรมและปัจจัยทางสังคมอาจมีบทบาท


อาการที่ควรสังเกต

อาการของโรคต่อมลูกหมากโตอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้วอาการที่พบบ่อย ได้แก่
  - ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่ง
  - ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะเวลากลางคืน
  - ปัสสาวะไม่สุด
  - ปวดปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  - ปัสสาวะแสบขัด

 

การดูแลสุขภาพและป้องกันโรคต่อมลูกหมากโต
ถึงแม้ว่าอายุจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การดูแลสุขภาพที่ดีสามารถช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการของโรคต่อมลูกหมากโตได้การดูแลสุขภาพและป้องกันโรคต่อมลูกหมากโตเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ชายทุกคนควรให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น แม้ว่าอายุจะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพที่ดีสามารถช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการของโรคนี้ได้

 


1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ควบคุมอาหาร:
   - รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนไม่ติดมัน
   - หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารแปรรูป และอาหารที่มีน้ำตาลสูง
   - เพิ่มการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน (lycopene) เช่น มะเขือเทศ ซึ่งมีงานวิจัยว่าอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่อมลูกหมาก
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
   - การออกกำลังกายช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ รวมถึงโรคต่อมลูกหมากโต
   - การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (aerobic exercise) เช่น การเดินเร็ว การวิ่ง หรือการว่ายน้ำ เป็นทางเลือกที่ดี
ควบคุมน้ำหนัก
   - รักษาดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคต่อมลูกหมากโต
ลดความเครียด
   - ความเครียดอาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมลูกหมาก การฝึกการจัดการความเครียด เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการพักผ่อนให้เพียงพอ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
   - การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคต่อมลูกหมากและโรคอื่นๆ


2. การดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรค

ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
   - การตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยให้ตรวจพบโรคต่อมลูกหมากโตได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม
   - การตรวจคัดกรอง เช่น การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับ PSA (Prostate-Specific Antigen) และการตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนัก (digital rectal exam) สามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคได้


ปรึกษาแพทย์
   - หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะบ่อย หรือปัสสาวะไม่สุด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม


การใช้สมุนไพรและอาหารเสริมบางชนิด
   - เช่น สารสกัดจากผลปาล์มเลื่อย (saw palmetto) และสารสกัดจากเปลือกต้นพลัมแอฟริกา (pygeum africanum) มีการใช้เพื่อบรรเทาอาการของโรคต่อมลูกหมากโต 
   - หรืออาหารเสริมจากเกสรดอกไม้จากต้น Brassica Campestris มาใช้ดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในเรื่องของการดูแลต่อมลูกหมาก ลดการอักเสบปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีสารต้านอนุมูลอิสระ


ทั้งนี้ สำหรับการใช้สมุนไพร หรืออาหารเสริมชนิดใดควร มีการดูแลสุขภาพองค์รวมควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่เพียงพอ หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม หรือปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้


บทความที่เกี่ยวข้อง
icon-messenger
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy